กอด จุดเริ่มต้นความรักของ พ่อ-แม่-ลูก

shutterstock_392427829

การกอด” สำหรับบางครอบครัวยังเป็นเรื่องที่เขินอาย เพราะสังคมไทยมักไม่ค่อยแสดงความรักด้วยการกอดอย่างเปิดเผย แต่สำหรับครอบครัวที่มีลูกน้อย การกอดลูกเป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ทุกคนแสดงความรักความอบอุ่นกับลูกของตัวเอง…แล้วทำไมเมื่อลูกโตการกอดจึงหายไป

ตอนลูกยังเล็ก นี่แม่นะก็กอดลูกทุกวัน ทั้งหอม ทั้งจูบ ทั้งกอด ไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใดเลย มารู้สึกตัวว่าไม่ได้กอดลูกก็ต่อเมื่อลูกเริ่มโต เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ยิ่งถ้าเป็นลูกผู้ชายด้วยยิ่งห่างเลย ไม่ยอมให้แม่ถูกเนื้อต้องตัว แม้แต่เดินจับมือเดินเหมือนตอนเล็ก ทำไม่ได้เลย…หลายครอบครัวเป็นเหมือนกันมั้ย!

การกอดจุดเริ่มต้นความรักของพ่อ-แม่-ลูก ไม่ว่าจะได้กอดลูกตั้งแต่เล็กจนโตหรือไม่ก็ตาม อยากจะบอกว่าการกอดให้อะไรมากมาย ลูกสามารถรับรู้ได้ถึงสัมผัสของความรัก ความอบอุ่นตั้งแต่อยู่ในท้อง หากแม่ตั้งครรภ์ยังจำกันได้เชื่อว่าแม่ทุกคนมักจะเอามือลูบคลำท้องตัวเองแล้วพูดกับตัวเองเบาๆว่าแม่รักลูกนะ นั่นก็เป็นการแสดงถึงการกอดการสัมผัสลูกตั้งแต่ลูกยังไม่ได้ลืมตาดูโลก

นักจิตวิทยาทั่วโลก ให้ความสำคัญกับการกอด ไม่ว่าจะเป็นการกอดของสามีภรรยา การกอดพ่อ แม่ ลูก หรือใครสักคนที่คุณรู้สึกอยากกอด ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะแม่กอดลูกนั้นเปรียบเหมือนอาหารมีความจำเป็นแก่การเติบโตทางร่างกายและจิตใจ 

PHOTO GALLERY

ข่าวสารและบทความ

ดูแลกระดูกอย่างไรให้แข็งแรง

กระดูกเป็นแกนของร่างกาย มีความสำคัญต่อการพยุงอวัยวะต่างๆ รวมถึงท่าทางการยืน การเดิน และการทรงตัว โครงสร้างกระดูกที่แข็งแรงเกิดจากการทำงานของเซลล์กระดูกที่สมดุล คือมีกระบวนการสลายกระดูกเก่าที่อ่อนแอ และสร้างกระดูกใหม่ที่แข็งแรง และรับแรงกระแทกได้ดี แต่เมื่ออายุขึ้นเลข 3 กระบวนการดังกล่าวเริ่มเสียสมดุล การสร้างกระดูกใหม่ลดลง ทำให้กระดูกบาง  และมีความสามารถในการรับน้ำหนักตัวลดลง เสี่ยงต่อการแตกหักของกระดูกในระยะยาว ภาวะดังกล่าวเรียกว่า “โรคกระดูกพรุน”

ดูแลกระดูกอย่างไรให้แข็งแรง

1.เสริมแคลเซียม แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหลักของโครงสร้างกระดูก เราทุกคนจำเป็นต้องได้รับแร่ธาตุแคลเซียมวันละ 800-1,200 มก. ต่อวัน ผู้ที่ต้องการบำรุงกระดูกควรเน้นการบริโภคอาหารประเภทผักใบเขียว นม โยเกิร์ต ถั่ว และงาหรือเลือกรับประทานจากผลิตภัณฑ์แคลเซียมเสริมอาหาร ที่ให้แคลเซียมอิสระสูง 600 มก. ต่อเม็ด

2.การออกกำลังกาย เป้นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์กระดูกให้ทำงานได้ดี ซึ่งจะให้ผลดีแตกต่างกันไปในแต่ละวัย

รู้หรือไม่? ผลไม้มีประโยชน์อย่างไร

นอกจากยาที่สามารถรักษาโรคภัยและอาการเจ็บป่วยของร่างกายแล้ว รู้หรือไม่? ผลไม้ที่รับประทานในชีวิตประจำวันก็มีทั้งวิตามินและแร่ธาติที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราเช่นเดียวกันอีกด้วย ทั้งรับประทานง่าย และมีชาติหวานถูกปาก และหาซื้อง่ายตามท้องตลาดทั่วไป เราลองมาดูผลไม้บางส่วนดีกว่าว่ามีอะไรบ้างและแต่ละชนิดให้ประโยชน์อย่างไรกับร่างกายเราบ้าง

1.ส้ม ต้านทานการอักเสบ ป้องกันได้หลายโรค


ส้มที่มาพร้อมรสชาติหวานอมเปรี้ยว ล้วนอุดมไปด้วยวิตามินซีจำนวนมาก และยังมีวิตามินชนิดอื่นๆ หลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเบต้าคาโรทีน เส้นใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก และฟลาโวนอยด์ ฯลฯ จึงจะช่วยต้านทานการอักเสบ รักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ รักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยล้างพิษ และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้

2.แอปเปิ้ล ช่วยล้างพิษป้องกันมะเร็งลำไส้


แอปเปิ้ลไม่ว่าจะสีไหนต่างก็มีประโยชน์และรสชาติอร่อยหอมหวาน ให้ประโยชน์กับร่างกายทั้งในส่วนของเนื้อและเปลือกแอปเปิ้ล ยิ่งโดยเฉพาะในเปลือกแอปเปิ้ลก็มีสารฟลาโวนอยด์ปริมาณมาก โดยจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยดีท็อกซ์พิษออกจากลำไส้ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้นั่นเอง

3.ลูกพีช ช่วยปกป้องเซลล์ และบำรุงหัวใจ


ลูกพีชผลไม้หอมหวานแสนอร่อย เป็นแหล่งของวิตามินเอและวิตามินต่างๆ รวมไปถึงแร่ธาตุชนิดอื่นๆ จัดว่าเป็นผลไม้ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีเบต้าคริปโตแซนทินที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงกระเพาะอาหาร เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า และช่วยเพิ่มพลังสมองให้รู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น

 

4.อะโวคาโดป้องกันโรคไข้หวัด ปกป้องร่างกายจากมลพิษ

อะโวคาโดมีทั้งวิตามินบีและวิตามินซีสูง กินแล้วจะช่วยป้องกันไข้หวัด โรคลักปิดลักเปิด โรคเหน็บชา ปากนกกระจอก และยังมีวิตามินอีสูง โดยจัดว่าเป็นผลไม้แห่งความงาม เพราะสามารถช่วยชะลอความแก่ของเซลล์ บำรุงผิวพรรณ ปกป้องร่างกายจากมลภาวะ ลดบ่อเกิดของเซลล์มะเร็งและโรคหัวใจได้

 

ออกบูธสมาคมร้านยาที่ภาคอีสาน จังหวัดอุบลราชธานี