ดูแลกระดูกอย่างไรให้แข็งแรง

S__30760964

กระดูกเป็นแกนของร่างกาย มีความสำคัญต่อการพยุงอวัยวะต่างๆ รวมถึงท่าทางการยืน การเดิน และการทรงตัว โครงสร้างกระดูกที่แข็งแรงเกิดจากการทำงานของเซลล์กระดูกที่สมดุล คือมีกระบวนการสลายกระดูกเก่าที่อ่อนแอ และสร้างกระดูกใหม่ที่แข็งแรง และรับแรงกระแทกได้ดี แต่เมื่ออายุขึ้นเลข 3 กระบวนการดังกล่าวเริ่มเสียสมดุล การสร้างกระดูกใหม่ลดลง ทำให้กระดูกบาง  และมีความสามารถในการรับน้ำหนักตัวลดลง เสี่ยงต่อการแตกหักของกระดูกในระยะยาว ภาวะดังกล่าวเรียกว่า “โรคกระดูกพรุน”

ดูแลกระดูกอย่างไรให้แข็งแรง

1.เสริมแคลเซียม แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหลักของโครงสร้างกระดูก เราทุกคนจำเป็นต้องได้รับแร่ธาตุแคลเซียมวันละ 800-1,200 มก. ต่อวัน ผู้ที่ต้องการบำรุงกระดูกควรเน้นการบริโภคอาหารประเภทผักใบเขียว นม โยเกิร์ต ถั่ว และงาหรือเลือกรับประทานจากผลิตภัณฑ์แคลเซียมเสริมอาหาร ที่ให้แคลเซียมอิสระสูง 600 มก. ต่อเม็ด

2.การออกกำลังกาย เป้นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์กระดูกให้ทำงานได้ดี ซึ่งจะให้ผลดีแตกต่างกันไปในแต่ละวัย

PHOTO GALLERY

ข่าวสารและบทความ

ออกบูธสมาคมร้านยาที่ภาคอีสาน จังหวัดอุบลราชธานี

เตรียมตัวให้พร้อมเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ

จะเตรียมความพร้อมอย่างไร? เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ

เมื่อมีอายุมากขึ้นร่างกายย่อมเสื่อมสภาพลงไปตามวัย การดูแลสุขภาพร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ การดูแลสุขภาพ ได้แก่
• รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสม
• ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
• ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
• ตรวจร่างกายประจำปีสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจร่างกายอย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี
• ลดหรืองดการดื่มสุรา การสูบบุหรี่

นอกจากการดูแลสุขภาพโดยทั่วไปแล้ว การกินอาหารเสริมสำหรับผู้สูงวัยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เนื่องจากผู้สูงอายุบางรายอาจรับประทานอาหารได้น้อยลงจนทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน การกินอาหารเสริมจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งได้ (ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม)

เรื่องอารมณ์และจิตใจ
การฝึกจิตใจให้สงบ เบิกบาน มีสติอยู่เสมอ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้อย่างเข้มแข็ง เรียนรู้การบริหารความเครียด การให้ การปล่อยวาง และการรักผู้อื่นพร้อม ๆ กับการรักตัวเอง จะทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและห่างไกลจากโรคต่าง ๆ โรคทางด้านจิตใจที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ เช่น ภาวะซึมเศร้า ซึ่งต้องคอยติดตามป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเหล่านี้

รู้หรือไม่? ผลไม้มีประโยชน์อย่างไร

นอกจากยาที่สามารถรักษาโรคภัยและอาการเจ็บป่วยของร่างกายแล้ว รู้หรือไม่? ผลไม้ที่รับประทานในชีวิตประจำวันก็มีทั้งวิตามินและแร่ธาติที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราเช่นเดียวกันอีกด้วย ทั้งรับประทานง่าย และมีชาติหวานถูกปาก และหาซื้อง่ายตามท้องตลาดทั่วไป เราลองมาดูผลไม้บางส่วนดีกว่าว่ามีอะไรบ้างและแต่ละชนิดให้ประโยชน์อย่างไรกับร่างกายเราบ้าง

1.ส้ม ต้านทานการอักเสบ ป้องกันได้หลายโรค


ส้มที่มาพร้อมรสชาติหวานอมเปรี้ยว ล้วนอุดมไปด้วยวิตามินซีจำนวนมาก และยังมีวิตามินชนิดอื่นๆ หลายชนิด นอกจากนี้ยังมีเบต้าคาโรทีน เส้นใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม เหล็ก และฟลาโวนอยด์ ฯลฯ จึงจะช่วยต้านทานการอักเสบ รักษาแผลให้หายเร็วขึ้น ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ รักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยล้างพิษ และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้

2.แอปเปิ้ล ช่วยล้างพิษป้องกันมะเร็งลำไส้


แอปเปิ้ลไม่ว่าจะสีไหนต่างก็มีประโยชน์และรสชาติอร่อยหอมหวาน ให้ประโยชน์กับร่างกายทั้งในส่วนของเนื้อและเปลือกแอปเปิ้ล ยิ่งโดยเฉพาะในเปลือกแอปเปิ้ลก็มีสารฟลาโวนอยด์ปริมาณมาก โดยจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยดีท็อกซ์พิษออกจากลำไส้ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้นั่นเอง

3.ลูกพีช ช่วยปกป้องเซลล์ และบำรุงหัวใจ


ลูกพีชผลไม้หอมหวานแสนอร่อย เป็นแหล่งของวิตามินเอและวิตามินต่างๆ รวมไปถึงแร่ธาตุชนิดอื่นๆ จัดว่าเป็นผลไม้ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีเบต้าคริปโตแซนทินที่จะช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงกระเพาะอาหาร เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า และช่วยเพิ่มพลังสมองให้รู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น

 

4.อะโวคาโดป้องกันโรคไข้หวัด ปกป้องร่างกายจากมลพิษ

อะโวคาโดมีทั้งวิตามินบีและวิตามินซีสูง กินแล้วจะช่วยป้องกันไข้หวัด โรคลักปิดลักเปิด โรคเหน็บชา ปากนกกระจอก และยังมีวิตามินอีสูง โดยจัดว่าเป็นผลไม้แห่งความงาม เพราะสามารถช่วยชะลอความแก่ของเซลล์ บำรุงผิวพรรณ ปกป้องร่างกายจากมลภาวะ ลดบ่อเกิดของเซลล์มะเร็งและโรคหัวใจได้