งานประชุมใหญ่สามัญสมาคมร้านยา ประจำปี 2564

IMG_8358 2

บริษัท ชินต้าคอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้เข้าร่วมงานประชุมใหญ่สามัญสมาคมร้านยา ประจำปี 2564 ที่ไบเทคบางนา ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2564

PHOTO GALLERY

ข่าวสารและบทความ

การใช้ยาให้ถูกต้องและปลอดภัย

ในชีวิตประจำวันของเรานั้นปฏิเสธไม่ได้ว่า “ยา” เป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตของเรา

แม้ยาสามารถใช้รักษาทำให้ผู้ป่วยหายป่วยและร่างกายรู้สึกดีขึ้นได้แต่สิ่งสำคัญคือ ยาทุกชนิดไม่ว่าจะได้มาจากการจ่ายยาของแพทย์ หรือยาที่หาซื้อเองตามร้านขายยาทั่วไปนั้นก็มีทั้งคุณประโยชน์ และอันตรายหากเราใช้ยาผิดประเภทหรือผิดวิธีเช่นกัน

หลักการใช้ยาที่ถูกต้องและปลอดภัย

1) ก่อนจะใช้ควรอ่านฉลากก่อนใช้ยาทุกครั้ง และปฎิบัติตตามอย่างเคร่งครัด

2) ใช้ยาให้ตรงกับโรค โดยปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ เพราะจะทำให้ไม่เป็นอันตราย

3) ใช้ยาให้ถูกวิธี เช่น ไม่แกะผงยาที่อยู่ในแคปซูลมาโรยแผล ยาชนิดที่ใช้ทาห้ามนำมารับประทาน เป็นต้น

4) ใช้ยาให้ถูกกับบุคคล ควรใช้ยาให้ถูกกับสภาพของบุคคลเพราะร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น ยาที่ให้เด็กกินต้องมีปริมาณไม่เท่ากับผู้ใหญ่ ยาบางชนิดไม่ควรให้หญิงมีครรภ์กินเพราะอาจเป็นอันตรายต่อลูกในท้องได้

5) ใช้ยาให้ถูกขนาด ควรใช้ยาตามขนาดที่แพทย์หรือเภสัชกรกำหนดไว้ เพราะถ้าใช้เกินขนาดอาจเกิดอันตรายต่อร่างกาย หรือถ้าใช้น้อยไปอาจจะทำให้การรักษาโรคไม่ได้ผลดี

6) ใช้ยาให้ถูกเวลา ยาแต่ละชนิดจะกำหนดระยะเวลาที่ใช้ไว้

กอด จุดเริ่มต้นความรักของ พ่อ-แม่-ลูก

การกอด” สำหรับบางครอบครัวยังเป็นเรื่องที่เขินอาย เพราะสังคมไทยมักไม่ค่อยแสดงความรักด้วยการกอดอย่างเปิดเผย แต่สำหรับครอบครัวที่มีลูกน้อย การกอดลูกเป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่ทุกคนแสดงความรักความอบอุ่นกับลูกของตัวเอง…แล้วทำไมเมื่อลูกโตการกอดจึงหายไป

ตอนลูกยังเล็ก นี่แม่นะก็กอดลูกทุกวัน ทั้งหอม ทั้งจูบ ทั้งกอด ไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใดเลย มารู้สึกตัวว่าไม่ได้กอดลูกก็ต่อเมื่อลูกเริ่มโต เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ยิ่งถ้าเป็นลูกผู้ชายด้วยยิ่งห่างเลย ไม่ยอมให้แม่ถูกเนื้อต้องตัว แม้แต่เดินจับมือเดินเหมือนตอนเล็ก ทำไม่ได้เลย…หลายครอบครัวเป็นเหมือนกันมั้ย!

การกอดจุดเริ่มต้นความรักของพ่อ-แม่-ลูก ไม่ว่าจะได้กอดลูกตั้งแต่เล็กจนโตหรือไม่ก็ตาม อยากจะบอกว่าการกอดให้อะไรมากมาย ลูกสามารถรับรู้ได้ถึงสัมผัสของความรัก ความอบอุ่นตั้งแต่อยู่ในท้อง หากแม่ตั้งครรภ์ยังจำกันได้เชื่อว่าแม่ทุกคนมักจะเอามือลูบคลำท้องตัวเองแล้วพูดกับตัวเองเบาๆว่าแม่รักลูกนะ นั่นก็เป็นการแสดงถึงการกอดการสัมผัสลูกตั้งแต่ลูกยังไม่ได้ลืมตาดูโลก

นักจิตวิทยาทั่วโลก ให้ความสำคัญกับการกอด ไม่ว่าจะเป็นการกอดของสามีภรรยา การกอดพ่อ แม่ ลูก หรือใครสักคนที่คุณรู้สึกอยากกอด ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะแม่กอดลูกนั้นเปรียบเหมือนอาหารมีความจำเป็นแก่การเติบโตทางร่างกายและจิตใจ 

โรคภัยที่มากับหน้าร้อน

เข้าหน้าร้อนเมืองไทยเข้ามาทุกที่ หลายคนท่านคงจะคิดถึงทะเล หรือสถานที่เที่ยวเย็นๆสบาย แต่อย่าฉล่าใจไปเพราะว่าช่วงหน้าร้อนนี้เป็นช่วงที่เชื้อโรคเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย เพราะฉะนั้นเราจึงควรระมัดระวังเชื้อโรคที่มากับหน้าร้อนเหล่านี้ด้วย เราจะพาไปดูกันว่ามีโรคอะไรบ้างที่ควรระวังช่วงหน้าร้อนนี้กัน

1.โรคอุจาระล่วงเฉียบพลัน

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปโตซัว พยาธิ ทำให้มีการถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นมูกเลือด โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันเป็นโรคที่พบบ่อยโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดีหรือเรียกว่าไม่สะอาดนั่นเอง ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะถ่ายอุจจาระเหลวหรือถ่ายอุจจาระเป็นน้ำผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและมักหายได้เอง ส่วนใหญ่แล้วจะพบในช่วงหน้าร้อนเพราะอากาศร้อนจะทำให้อาหารและน้ำดื่มเสียง่ายและทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันนั่นเอง

2.โรคอาหารเป็นพิษ

ติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ มักพบในอาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์ ไข่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งคนที่ได้รับเชื้อเข้าไปมักมีไข้ ปวดท้อง ซึ่งเชื้อที่ได้รับสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ได้ จึงทำให้มีอาการปวดท้อง ปวดเมื่อย คลื่นไส้อาเจียน อุจจาระร่วงด้วย หรือการติดเชื้อจากอวัยวะอื่น เช่น ข้อกระดูก ถุงน้ำดี หัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง ไปจนถึงโลหิตเป็นพิษ ซึ่งหากเกิดในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ จะมีโอกาสทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยหล่ะค่ะ

3.โรคบิด

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรืออะมีบา ซึ่งสามารถติดต่อได้ผ่านการรับประทานอาหาร ผักดิบ รวมถึงน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรคด้วยนะคะ หากติดเชื้อก็มักจะมีไข้ ปวดท้องแบบปวดเบ่ง ถ่ายอุจจาระบ่อย และอาจทำให้อุจจาระมีมูกหรือมูกปนเลือดได้อีกด้วย

4.อหิวาตกฤโรค

เกิดจากเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ซึ่งหากติดเชื้อโรคนี้จะทำให้เราถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยไม่มีอาการปวดท้อง และมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะน้อย ชีพจรเต้นเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ และในบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เช่นกันค่ะ

5.โรคไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้ลากสดาน้อย

อีกหนึ่งโรคที่สามารถติดต่อจากอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเช่นกัน ซึ่งเจ้าโรคไข้ไทฟอยด์นี้จะทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร และอาจท้องผูกหรือท้องเสียได้ นอกจากนี้เชื้อปนก็อาจปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะเป็นครั้งคราวได้ด้วย ทำให้เราเป็นพาหะนำโรคได้นั่นเองค่ะ